ฮอนด้าปรับโฉม ลดราคา เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี เริ่ม 8.9 แสนบาท

ฮอนด้าปรับโฉม ลดราคา เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี เริ่ม 8.9 แสนบาท

ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่(ไมเนอร์เชนจ์)เอสยูวียอดนิยมปรับโฉมเติมของขึ้นอีกขั้น มอบความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ ดีไซน์ภายนอกสไตล์ Original Sport Fastback เสริมเทคโนโลยีความปลอดภัย และเทคโนโลยีการขับขี่ รองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้ใช้งาน

ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ในระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด สามารถเก็บประจุไฟ และช่วยให้การชาร์จไฟเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งสามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่โดยอัตโนมัติในขณะขับขี่ มอบการตอบสนองทันใจตั้งแต่ออกตัวกับแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร โดยระบบฟูลไฮบริด e:HEV มีจุดเด่นอยู่ที่การปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้อย่างชาญฉลาด สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้โดยอัตโนมัติตามความเหมาะสมและสถานการณ์การขับขี่ โดยระบบจะเลือกโหมดที่เหมาะสมตามระดับแบตเตอรี่ สภาพถนน และพฤติกรรมการขับขี่ ประกอบด้วย 3 โหมดการทำงาน ได้แก่

  • โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มอบอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ เป็นระบบที่เหมาะสมกับ
    การขับขี่ในเมือง ช่วยให้สามารถขับขี่ในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ได้อย่างต่อเนื่อง 
  • โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) โดยระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและทรงพลัง
  • โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์อัตโนมัติ
    E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและมีแรงเสียดทานต่ำ
    เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่

มอบความมั่นใจยิ่งขึ้นในการใช้งาน ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยทุกรุ่นย่อยมาพร้อมกับสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่เพียงปุ่มสัมผัสตามความต้องการมีให้เลือก 3 โหมด

  • ECON Mode – โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ตามรูปแบบการขับขี่
  • Normal Mode – โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป
  • Sport Mode – โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้พร้อมตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้น เพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ

อีกทั้งระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ที่ช่วยหน่วงความเร็วรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องแตะเบรกบ่อย ๆ เมื่อขับรถตามคันหน้าหรือในจังหวะที่กำลังจะติดไฟแดง โดยเมื่อผู้ขับขี่ถอนเท้าออกจากคันเร่ง จะสามารถควบคุมอัตราการชะลอความเร็วของรถได้โดยไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย โดยผู้ขับขี่สามารถควบคุมช่วงระยะการลดความเร็วได้ 4 ระดับ อีกทั้งเมื่อขับรถลงทางลาด ผู้ขับขี่สามารถควบคุมช่วงระยะการลดความเร็วได้ ส่งผลให้สามารถรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยกับรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้าได้ นอกจากนี้ขณะลดความเร็ว ยังสามารถช่วยชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้อีกด้วย มอบความสะดวกสบายควบคู่ไปกับความปลอดภัย

ภายในห้องโดยสารกว้างสบายสไตล์เอสยูวีพร้อมฟังก์ชันเปลี่ยนปรับรองรับการใช้งานหลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์ แยกพับแบบ 60:40 ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ มอบพื้นที่ใช้งานอเนกประสงค์ด้วยห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ได้แก่

  • Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบเพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลังซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย
  • Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
  • Tall Mode: ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของ ฮอนด้า ที่สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง

ภาพรวมไฮไลต์จุดเปลี่ยน ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่(ไมเนอร์เชนจ์)

-ดีไซน์ภายนอกอัปลุคความสปอร์ตแกร่งสไตล์เอสยูวีไปอีกขั้น ดึงดูดสายตาด้วยการออกแบบ(กันชน)ด้านหน้าดีไซน์ใหม่ ยกระดับความสปอร์ตแกร่งยิ่งขึ้นพร้อมกับกระจังหน้าใหม่ ที่สะท้อนความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น

-ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง โปร่งโล่ง สะดวกสบายทุกที่นั่ง พร้อมเพิ่มเติมฟังก์ชันการใช้งานใหม่ในทุกรุ่นย่อย ได้แก่

  • คอนโซลกลางใหม่ ด้วยการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนทั้งส่วนบนและส่วนล่าง โดย พร้อมช่องเก็บของและถาดอเนกประสงค์
  • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto 
  • อัปเกรดช่องเชื่อมต่อ USB เป็นทั้งหมด 4 ตำแหน่ง ในทุกรุ่นย่อย โดยมาพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB Type-C จำนวน 3 ช่อง (ด้านหน้า 1 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง) และช่องเชื่อมต่อ USB Type-A ด้านหน้า จำนวน 1 ช่อง
  • มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว พร้อม ใหม่! จอแสดงไฟเบรก

จุดเปลี่ยนใหม่ของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ รุ่น e:HEV RS

  • กันชนด้านหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมกับกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ RS 
  • ไฟท้ายแบบ Full LED Light Strip ดีไซน์ใหม่ สี Smoke
  • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว(ลายเดิม)สีใหม่ สีดำ Berlina Black แบบ Diamond cut 
  • ไฟหน้า LED (Adaptive Driving Beam: ADB) 
  • ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) 
  • เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด
  • คอนโซลกลางใหม่ แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนทั้งส่วนบนและส่วนล่าง
    พร้อมช่องเก็บของและถาดอเนกประสงค์ ใช้งานสะดวกสบายยิ่งขึ้น
  • อัปเกรดช่องเชื่อมต่อ USB เป็นทั้งหมด 4 ตำแหน่ง โดยมาพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB Type-C จำนวน 3 ช่อง (ด้านหน้า 1 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง) และช่องเชื่อมต่อ USB Type-A ด้านหน้า จำนวน 1 ช่อง

จุดเปลี่ยนใหม่ของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ รุ่น EL และรุ่น E อัปลุคความสปอร์ตตอบโจทย์การใช้งานเน้นความคุ้มค่ายิ่งขึ้น

  • กันชนด้านหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมกับกระจังหน้าใหม่ สีเดียวกับตัวรถ ทั้งรุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV E
  • คอนโซลกลางใหม่แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนทั้งส่วนบนและส่วนล่างพร้อมช่องเก็บของพร้อมถาดอเนกประสงค์
  • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto 
  • รุ่น e:HEV EL เพิ่มเบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง 
  • รุ่น e:HEV EL เพิ่มอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)  
  • รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV E อัปเกรดช่องเชื่อมต่อ USB เป็นทั้งหมด 4 ตำแหน่ง โดยมาพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB Type-C จำนวน 3 ช่อง (ด้านหน้า 1 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง) และช่องเชื่อมต่อ USB Type-A ด้านหน้า จำนวน 1 ช่อง
  • รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV E แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกส่องหน้าแบบมีฝาปิด มาพร้อมไฟส่องสว่าง 
  • รุ่น e:HEV E เพิ่มช่องปรับอากาศตอนหลัง

ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่(ไมเนอร์เชนจ์)มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น e:HEV RS, รุ่น e:HEV EL, และรุ่น e:HEV E 

-สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้โดยมี สีใหม่ สีกากีแซนด์ (มุก) หลังคาสีดำทูโทน เอกซ์คลูซีฟเฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV EL สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) หลังคาสีดำทูโทน (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) และสีดำคริสตัล (มุก)

ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ทำงานร่วมกับกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักดังนี้

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)  

ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน
ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ

  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) 

กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่

  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)

ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร

  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า

  • ใหม่! ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

โดยระบบจะปรับการทำงานของไฟสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้าย-ขวา อัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การขับขี่ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถยนต์ด้านหน้าหรือรถที่กำลังสวนทางมา

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)

ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง

  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า

พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยด้านการขับขี่ อาทิ

  • ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) (รุ่น e:HEV RS)
  • ใหม่! เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด (รุ่น e:HEV RS)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบที่ทำงานเพื่อช่วยควบคุมคันเร่งและเบรก เพื่อรักษาความเร็วได้อย่างเหมาะสมเมื่อขับรถลงจากทางลาดชัน 
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
  • ระบบ Auto Brake Hold 
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV RS และรุ่น e:HEV EL)
  • ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) สามารถล็อกรถอัตโนมัติ เมื่อเดินออกห่างจากตัวรถในระยะ 1.5 เมตรขึ้นไป 
  • ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front and Rear Passenger Seat Belt Reminder)
  • ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
  • ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่  (Agile Handling Assist: AHA)
  • พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
  • กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น
  • ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และ ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
  • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
    บนพื้นถนนที่ลื่น
  • ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist: VSA)
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist: HSA)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal: ESS)

นอกจากนี้ในรุ่น e:HEV RS ยังมาพร้อม ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ได้แก่ 

  1. My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
  2. Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และ บันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และเอกซ์ (ทวิตเตอร์) เป็นต้น
  3. Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง
    5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง* สามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  1. Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น 
  2. Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
  3. Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และสั่งการดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน 
  4. Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
  5. Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน