BMW GROUP เผยแผน 2024 เปิด 10 รุ่น 

BMW GROUP เผยแผน 2024 เปิด 10 รุ่น 

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่รับปี 2567 ด้วยยนตรกรรมใหม่ 10 รุ่นจากทั้งสามแบรนด์ ตอกย้ำจุดยืนเบอร์หนึ่งในกลุ่มยานยนต์พรีเมียม

  • บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จสี่ปีซ้อน ครองอันดับหนึ่งในตลาดกลุ่มรถยนต์พรีเมียมในไทย จากยอดจดทะเบียนบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวม 15,477 คัน ในปี พ.ศ. 2566 เติบโตขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า
  • กลุ่มยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของบีเอ็มดับเบิลยูที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 348% จากยอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,399 คัน ขณะที่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่ม Luxury Class ของบีเอ็มดับเบิลยูเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 46% จากปี พ.ศ. 2565 ด้วยยอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 668 คัน 
  • เปิดตัวยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่นจากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด นำไลน์อัพใหม่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยู iX2 รถยนต์ซีดานพรีเมียมบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 
    รุ่นใหม่ของมอเตอร์ไซค์ GS ในตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า CE 02 พร้อมด้วยอีกหลายรุ่นจากมินิที่มาพร้อมเอกลักษณ์และความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
  • บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย โชว์ผลงานแข็งแกร่งแม้เผชิญความท้าทาย ด้วยยอดสินเชื่อรวมที่โตขึ้น 2% และการปฏิวัติระบบดิจิทัลเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จในการครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมเป็นปีที่ 4 ต่อเนื่องกัน พร้อมเปิดตัวยนตรกรรมใหม่รวม 10 รุ่น จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด นำไลน์อัพใหม่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู iX2 รถยนต์ซีดานพรีเมียมบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 มอเตอร์ไซค์ GS ในตำนานรุ่นใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า CE 02 พร้อมด้วยอีกหลายรุ่นจากมินิที่มาพร้อมเอกลักษณ์และความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นในงานแถลงข่าวประจำปี 2567 ณ สามย่าน มิตรทาวน์ ฮอลล์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

(ในภาพจากซ้าย) 

  1. มร. คนุท โบลกแคร์ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย 
  2. มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย 
  3. คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย  

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองแชมป์ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่สี่ ซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากแนวทางของบีเอ็มดับเบิลยูในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมที่ยั่งยืน และการส่งมอบประสบการณ์ความพึงพอใจระดับสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมชั้นนำจากแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่สามารถทำผลงานยอดจดทะเบียนได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของบีเอ็มดับเบิลยูที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 348% และรถยนต์ในกลุ่ม Luxury Class ที่เติบโตขึ้นกว่า 46% ทั้งนี้ ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะต่อยอดความสำเร็จอย่างแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวทัพยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่น นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro, บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro, มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู Classic Edition, มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน รุ่น Multitone, มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition รวมถึงมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS, บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR และบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ตามเป้าหมายในการส่งมอบตัวเลือกที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นแนวหน้า การส่งมอบบริการระดับคุณภาพ และแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของเรา ตลอดทั้งปี พ.ศ. 2566 ได้ส่งผลลัพธ์กลับมาเป็นความไว้วางใจของลูกค้า เรารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ยังคงเป็นผู้นำในเซกเมนต์ยานยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่สี่ นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นที่เราได้นำมาเปิดตัวสู่ลูกค้าชาวไทยและในวันนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าเช่นเดิม โดยได้นำยนตรกรรมใหม่มาเปิดตัวถึง 10 รุ่น จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ไปจนถึงบริการและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะยังคงมุ่งสู่ความเป็นเลิศไปพร้อม ๆ กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการและพาร์ทเนอร์ของเราทุกคน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยของเรา”ย่างก้าวที่แข็งแกร่งในปีที่สี่ เติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับโลกความสำเร็จจากการทำตลาดและกลยุทธ์การให้บริการลูกค้าร่วมกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตลอดปี พ.ศ. 2566 ยังทำให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในตลาดยานยนต์พรีเมียมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกัน 

โดยแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ สร้างสถิติใหม่ในปีที่ผ่านมาด้วยยอดจดทะเบียนรวม 15,477 คัน เติบโตขึ้น 3% (แบ่งเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 14,128 คัน และมินิ 1,349 คัน) ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของพนักงาน ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และพันธมิตรทุกรายในประเทศไทยของบีเอ็มดับเบิลยู ที่ได้ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ระดับสูงสุดให้แก่ลูกค้า ซึ่งช่วยเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของบีเอ็มดับเบิลยูให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยใน ปี พ.ศ. 2566 สามารถทำยอดขายบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์รอยซ์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นยอดส่งมอบรวม 2,555,341 คันทั่วโลก เติบโตขึ้น 6.5% โดยรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 100% มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 74.4% จากปี 2565 คิดเป็นยอดส่งมอบทั่วโลกรวม 376,183 คัน ผลของความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งตอบรับกับเทรนด์พลังงานสะอาดที่ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ทั้งนี้ ทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มองว่าเทรนด์ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้กว่า 500,000 คัน ในปี พ.ศ. 2567 นี้ 

ยืนหนึ่งในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พรีเมียมแห่งอนาคต

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู iX3, บีเอ็มดับเบิลยู iX, บีเอ็มดับเบิลยู i4, บีเอ็มดับเบิลยู i5, บีเอ็มดับเบิลยู i7 และมินิ คูเปอร์ เอสอี ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้งสองแบรนด์มีอัตราการเติบโตสูงถึง 200% ในปี พ.ศ. 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,604 คัน ถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางของบีเอ็มดับเบิลยูในการรังสรรค์ยนตรกรรมแห่งอนาคต เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นให้แก่ทุกคน นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภค ทั้งในตลาดระดับโลกและในประเทศไทย หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มาจากการนำเสนอยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียนตรกรรมไฟฟ้าให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ครบ ทั้งจากแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยรุ่นที่โดดเด่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู i5 รถยนต์ซีดานที่มาต่อยอดความสำเร็จของตระกูลซีรีส์ 5 ด้วยเทคโนโลยีระดับไฮคลาส ประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้น และรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวหรูหรา บีเอ็มดับเบิลยู XM 50e ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ความสะดวกสบายอันหรูหรา และขุมพลังที่เหนือกว่า รวมทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู CE04 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ที่มาพร้อมขุมพลังในการขับขี่ในตัวเมือง ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รวมถึงรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในงานดังกล่าวอย่างบีเอ็มดับเบิลยู iX2 และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู CE 02

นอกจากนี้ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่ม Luxury Class หรือรถยนต์ระดับไฮเอนด์ของแบรนด์ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู i7, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 8, บีเอ็มดับเบิลยู X7 และบีเอ็มดับเบิลยู XM ยังคงสร้างผลงานการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย ด้วยยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 ทั้งหมด 668 คัน เติบโตขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า ตอกย้ำจุดยืนของบีเอ็มดับเบิลยูในการส่งมอบสุดยอดความเป็นเลิศ นิยามใหม่ของยานยนต์ที่มีความหรูหรา และความเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่มีใครเทียบ ความพึงพอใจของลูกค้าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางนอกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในประเทศไทย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้รับการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (Net Promoter Score – NPS) สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในด้านยอดขายและการให้บริการหลังการขายในปี พ.ศ. 2566 ด้วยคะแนนจากผลการประเมินที่ 94 คะแนน และ 90 คะแนนตามลำดับ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศ เพื่อพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงที่สุด มีบริการที่เยี่ยมยอดที่สุด และส่งมอบที่สุดแห่งสุนทรียะด้านการขับขี่ให้แก่ลูกค้าได้ในทุก ๆ ขั้นตอน 

ทั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2565-2566 บีเอ็มดับเบิลยู ได้จับมือกับผู้จำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการหลายราย เพื่อเปิดตัวโชว์รูมโฉมใหม่ในประเทศไทยกว่า 9 แห่ง ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบโชว์รูมและศูนย์บริการแบบใหม่ล่าสุด หรือ Retail Next ที่รังสรรค์บรรยากาศในการสัมผัสแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูที่ผ่อนคลายและใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นตั้งแต่ก้าวแรก โดยบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับเพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส เปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์ ที่มาพร้อมโชว์รูมบีเอ็มดับเบิลยู M ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากบีเอ็มดับเบิลยูเป็นแห่งแรกในย่านราชพฤกษ์และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมด้วยศูนย์ BMW Premium Selection รถยนต์มือสองที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากบีเอ็มดับเบิลยู 

นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับบริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ขยายระบบนิเวศทางธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ โดยปักหมุดยุทธศาสตร์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยการเปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจรอย่างเป็นทางการ ‘บีเอ็มดับเบิลยู และ มินิ มิลเลนเนียม ออโต้’ สาขาสุราษฎร์ธานี ขยายเครือข่ายครอบคลุมภาคใต้ อาทิ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา, ภูเก็ต, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา และอื่น ๆ รวมถึงการร่วมมือกับเนลสันออโต้เฮ้าส์ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู ขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้าในภูมิภาคตะวันออก ด้วยการเปิดตัวโชว์รูมแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง พร้อมงบประมาณการลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท ประกอบด้วยโชว์รูมรถยนต์และพื้นที่จัดจำหน่ายสุดโอ่อ่ากว้างขวาง รวมถึงศูนย์บริการด้านการซ่อม พร้อมด้วยศูนย์บริการด้านตัวถังและสีที่ได้รับการรับรองจากบีเอ็มดับเบิลยู เพื่อการบริการลูกค้าอย่างครบครัน และยังได้ร่วมลงทุนในการปรับโฉมโชว์รูมใหม่และขยายพื้นที่อีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น อมร รังสิต, มิลเลนเนียม ออโต้ พระรามสี่, มิลเลนเนียม ออโต้ สยามพารากอน, และมิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี และจะยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วยคอนเซ็ปต์ Retail Next ในอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ตลอดปี พ.ศ. 2567 นี้

อีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย พร้อมนำเสนอบริการใหม่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าปี พ.ศ. 2566 ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดรวม แต่บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง การส่งมอบบริการใหม่ในรูปแบบดิจิทัลที่หลากหลาย และการส่งมอบบริการที่คำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ทางบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย สามารถสร้างการเติบโตให้กับยอดสินเชื่อรวมได้อย่างแข็งแกร่งที่ 2% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 โดยลูกค้าเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ หรือมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด จำนวนประมาณ 50% ยังคงให้ความไว้วางใจและเลือกรับบริการทางการเงินจากบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการบริการและความเชื่อมั่นจากลูกค้า ตอกย้ำด้วยผลการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ซึ่งได้รับคะแนนประสบการณ์ลูกค้าสูงสุดในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นถึง 10 คะแนน ในช่วงท้ายอายุสัญญาทางการเงิน แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจของลูกค้าตลอดระยะเวลาสัญญา

ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังสร้างผลงานที่เข้มแข็งในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสองซึ่งเติบโตกว่า 25% ปีต่อปี มีอัตราการเข้าถึงตลาดลูกค้าองค์กรกว่า 62% สะท้อนถึงความไว้วางใจและความสำเร็จจากการมุ่งมั่นในกลยุทธ์ที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้จากการลงทุนเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2566 เพื่อพลิกโฉมประสบการณ์ลูกค้าหลากหลายรูปแบบ โดยในปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้เปิดตัว BMW Thailand Web Online Shop ซึ่งช่วยให้ลูกค้ายืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID – NDID) รวมทั้งการรองรับลายเซ็นดิจิทัลในการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสมัครบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ลดกระบวนการสแกนหรืออัพโหลดเอกสาร รวมถึงช่วยลดระยะเวลา การยืนยันรายละเอียดของสัญญาให้เหลือเพียงไม่กี่คลิก โดยบริการด้านดิจิทัลเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลาและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น ช่วยให้กระบวนการประเมินเพื่ออนุมัติการปล่อยสินเชื่อเสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที และยังทำให้กระบวนการดำเนินงานหลังบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังได้เปิดตัวบริการ ‘MyBMW Finance’ และ ‘MyMINI Finance’ ให้ลูกค้าเข้าถึงสัญญาทางการเงินและบริการอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นและหลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด สร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า และยกระดับประสบการณ์ ที่ลูกค้าได้รับจากการบริการให้ดียิ่งกว่าเดิมนอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดตัวธุรกิจประกันภัยพร้อมบริการประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ภายใต้ชื่อ “บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด” อีกด้วย สำหรับในปี พ.ศ. 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังวางแผนที่จะขยายส่วนธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอบริการประกันรถยนต์และบริการขยายระยะเวลาการประกันมุ่งหน้าสนับสนุนแนวทางความยั่งยืนและโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อผลักดันอุตสาหกรรม
ยานยนต์ไทยสู่อนาคต 

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติงานตามกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการสร้าง
ความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยได้ต่อยอดโครงการ BMW Service Apprentice เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้แก่นักศึกษาอาชีวะในประเทศไทยที่มีศักยภาพ ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ของรัฐบาล เสริมศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมบริการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยมุ่งเน้นการผลักดันการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย 

โดยมีนักศึกษาทั้งหมด 282 คนที่ได้เข้าร่วมโครงการจาก 5 สถาบัน และในส่วนของโปรแกรม Dual Excellence ที่ดำเนินการโดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ก็ได้รับนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 111 คนจาก 2 สถาบันนอกจากนี้ เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนรุ่นใหม่สนใจในแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้จับมือกับ 6 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล มูลนิธิชัยพัฒนา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เอสซีจี โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ และเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จัดโครงการ CHOICEISYOURS 2023 ในปี พ.ศ. 2566 เพื่อเปิดให้นิสิตนักศึกษาในไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรมและการลงมือปฏิบัติจริงเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมได้เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ จากองค์กรพาร์ทเนอร์ทั้ง 7 ราย 

ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ ในการต่อยอดแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ นิสิตนักศึกษายังได้รับโอกาสในการไปทัศนศึกษาเยี่ยมการดำเนินธุรกิจขององค์กรพาร์ทเนอร์ เพื่อเรียนรู้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การหมุนเวียนใช้ทรัพยากรในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากร โดยรักษาคุณค่าของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรใหม่น้อยที่สุด และจะยังคงดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน โครงการต่างๆเหล่านี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ไม่เพียงแต่ต้องการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่ยั่งยืน แต่ยังรวมไปถึงการลงทุนกับเหล่าผู้นำและนวัตกรรุ่นใหม่ซึ่งจะช่วยผลักดันทั้งในภาคสังคมและภาคสิ่งแวดล้อมในอนาคต