บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เผย 64 ขายรถหรูที่1 ปีนี้เปิดรถใหม่ไฮไลท์กว่า10รุ่น

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เผย 64 ขายรถหรูที่1 ปีนี้เปิดรถใหม่ไฮไลท์กว่า10รุ่น

ข่าวรถยนต์

ทีมข่าว incarsmagazine

กรุงเทพฯ. 10 กุมภาพันธ์ 2565

-บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองความสำเร็จต่อเนื่องสองปีซ้อน รักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย เดินหน้าสู่ยนตรกรรมไฟฟ้า และการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคพร้อมเผยโฉมรถยนต์ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด รวม 10 รุ่น เน้นย้ำการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในรูปแบบของ Gran Coupe ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู i4 รุ่นใหม่

  • บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองตลาดรถยนต์นั่งอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมของไทย ซึ่งเป็นการรวมกันของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 45.5% ในปี 2564 เพิ่มขึ้นจาก 44.6% ในปี 2563
  • บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ทำลายสถิติด้วยยอดสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึง 13% รวมมูลค่า 19,000 ล้านบาท พร้อมตัวเลขยอดสินเชื่อรวมในพอร์ททะยานสู่หลัก 52,000 ล้านบาท
  • บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ผลิตรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 33,428 คัน
  • เปิดตัวโมเดลใหม่ 10 รุ่น ทั้งจากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเดอร์ราด เพื่อนำเสนอทางเลือกที่ครอบคลุมให้แก่ลูกค้า รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อีก 2 รุ่น

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าฉลองความสำเร็จต่อเนื่อง ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม 2 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ 45.5% เพิ่มจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 44.6% และอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า MINI Electric เพิ่มขึ้นถึง 263% เมื่อเทียบปีต่อปี พร้อมเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่นมาครบทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้าปีแห่งความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทั้งในด้านตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม ด้านนวัตกรรม และด้านความพึงพอใจของลูกค้า

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า 

“ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามเป้าหมายด้วยการส่งมอบความพึงพอใจในการขับขี่ พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และแนวคิดพลังแห่งทางเลือก (Power of Choice) ให้กับลูกค้า ส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ขึ้นสูงสุดทั้งด้านการขายและการให้บริการ เราตระหนักดีว่าลูกค้าทุกคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจึงสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านโซลูชันส์ที่หลากหลาย เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดและความสุขให้แก่ลูกค้าตลอดเส้นทางแห่งการเดินทางของพวกเขา สิ่งที่ทำให้เรามีความโดดเด่นและทำให้เป็นองค์กรเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

คือการที่เราผสานปรัชญาด้านนวัตกรรมที่มีมาอย่างยาวนานกับพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า เรายังสร้างสรรค์นวัตกรรมไปสู่การเปิดตัวเทคโนโลยีผู้ช่วยขับขี่อันล้ำสมัยในตลาดไทย ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมนี้ เราได้สร้างสรรค์อนาคตแห่งยนตรกรรมที่พร้อมทั้งดิจิทัลและมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยผสมผสานทั้งดีไซน์ พลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน เราพร้อมจะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนแห่งอนาคต และมุ่งหมายที่จะจุดกระแสแนวทางแห่งการขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ผู้ขับขี่ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยานยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และโดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2565”

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย (ที่ 2 จากซ้าย), มร. เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย (ที่ 1 จากซ้าย), มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย (ที่ 3 จากซ้าย), และมร. คนุท โบลกแคร์ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย (ที่ 4 จากซ้าย) ร่วมฉลองความสำเร็จต่อเนื่อง ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม 2 ปีซ้อน ในงานแถลงข่าวประจำปี 2565 ที่เดอะ สตูดิโอ พาร์ค

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ด้านการผลิต และคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืน

ด้านมร. เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นปีแห่งประวัติการณ์ของการผลิตของเรา โดยจำนวนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ถูกผลิตไปทั้งหมด 33,428 คัน รวมการผลิตทั้งหมดกว่า 250,000 คัน นับตั้งแต่เปิดโรงงานการผลิตในปี พ.ศ. 2543 และเรายังคงสามารถปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต ให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับความต้องการแต่ละช่วง ซึ่งการผลิดรถยนต์นั้นได้เพิ่มขึ้นกว่า 17.8% รวมถึงการผลิตเพื่อการส่งออกได้เพิ่มขึ้น 11.6% เช่นกัน เรายังมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนภายใต้แนวคิดการกำจัดขยะโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม (zero-waste-to-landfill) โดยในด้านการผลิตนั้น เราสามารถลดปริมาณขยะในการผลิตแต่ละโมเดลได้ถึง 35.6% นำปริมาณของขยะสะสมไปรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 27,208 ตัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เรายังมุ่งมั่นในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon-neutral) หรืองดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยมีการใช้พลังงานสะอาดจากแผงโซล่าเซลล์ในบางส่วนที่โรงงานระยอง และพลังงานบางส่วนมาจากเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้า (grid) ซึ่งได้รับการรับรองเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับด้านการสนับสนุนบุคลากรรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ BMW Service Apprentice Program นั้น มีนักศึกษาทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในโครงการฯ และนักเรียนที่สำเร็จการศึกษารวม 223 คน และในจำนวนนี้ ได้เข้าทำงานกับผู้จำหน่ายรวม 186 คน ในขณะที่โครงการการศึกษาระบบทวิภาคีด้านแมคคาทรอนิกส์ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ซึ่งมอบทุนการศึกษาเต็มจำนวนและเบี้ยเลี้ยงตลอดระยะเวลาโครงการ มีนักศึกษาลงทะเบียน 102 คน และทำงานในโรงงานที่ระยอง 33 คน”

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยเดินหน้าโครงการด้านดิจิทัล และนวัตกรรม เพื่อมอบประสบการณ์อันดีแก่ลูกค้า

มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “ถึงแม้ปีที่ผ่านมา เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด แต่ยอดสินเชื่อของธุรกิจใหม่นั้นเติบโตขึ้นถึง 13% โดยสองในสามของลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู ให้ความมั่นใจทำธุรกรรมกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสในปี 2564 ส่งผลให้ยอดรวมของสินเชื่อใหม่คิดเป็นมูลค่า 19,000 ล้านบาท โดยยอดสินเชื่อรวมในพอร์ตของบริษัทฯ ในขณะนี้เท่ากับ 52,000 ล้านบาท เราได้มองเห็นเทรนด์ของตลาดในเรื่องที่ลูกค้าให้ความสนใจด้านผลิตภัณฑ์ที่การันตีมูลค่าในอนาคต (Guaranteed Future Value) ผ่านโปรแกรมทางการเงิน Freedom Choice ในการมอบทางเลือกและอิสระสูงสุด ซึ่งเติบโตขึ้นถึงสองเท่า และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กับการดำเนินงานอันยาวนานในประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่ายอันทรงเกียรติและพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ทางบริษัทฯ จึงมอบรางวัลพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้โชคดีที่ซื้อบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมทำสัญญาทางการเงินกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสไปแล้ว รวมมูลค่า 2.6 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยยังคงมีรางวัลใหญ่ ได้แก่ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupe  จำนวน 1 คัน รถยนต์ไฟฟ้า มินิ คูเปอร์ เอสอี จำนวน 1 คัน และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT จำนวน 1 คัน ที่เตรียมมอบในช่วงท้ายของแคมเปญในปีนี้อีกด้วยและนอกเหนือจากแคมเปญนี้ เรายังคงสนับสนุนแบรนด์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปทั้งหมดร่วมกับแคมเปญต่าง ๆ ที่ยังคงมีให้ลูกค้าทุกท่านอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของเราทุกท่านในปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยได้ให้สัญญาในเรื่องการส่งมอบเทคโนโลยีโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เช่น การมอบความสะดวกสบายด้วยการขอสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ให้เชื่อมต่อกับช่องทางการจองผ่านออนไลน์ของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งนี้เส้นทางของการเพิ่มประสบการณ์แก่ลูกค้านั้นไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่ยังจะเพิ่มเติมต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ เช่น การบริการด้านไฟแนนซ์ อย่างเต็มรูปแบบ หรือ “MyBMW Finance” เพื่อให้ลูกค้าสามารถจัดการด้านไฟแนนซ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางแพลตฟอร์มในการตรวจสอบตัวตนด้วยระบบ เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์อันดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ด้านยอดจดทะเบียนของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในส่วนของรถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% ร่วมกับการขยาย ChargeNow ตามพื้นที่ต่างๆ 

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% และได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าทั้งในรูปแบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หลากหลายรุ่นให้แก่ผู้ขับขี่ในประเทศไทย และยังร่วมมือกับพันธมิตรในการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเปิดกว้างให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อ พร้อมติดตั้งหัวจ่าย ChargeNow ไปแล้วทั้งหมด 130 หัวจ่าย ใน 48 สถานีทั่วประเทศไทย นอกจากนั้น ยังมีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมถึงสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่กรุงเทพฯ พร้อมติดตั้งหัวจ่ายทั้งสิ้น 183 หัวจ่าย ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้บริการ ChargeNow ได้อย่างสะดวกสบายภายใต้เครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมทั้งสิ้น 313 หัวจ่าย พร้อมทั้งมีการส่งมอบเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ Wallbox แก่ลูกค้าทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้นราว 2,000 เครื่องทั้งนี้ จากเครือข่ายความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้ากว่า 300 หัวจ่าย ดังนั้น เมื่อรวมจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่มีให้บริการในโครงการ ChargeNow ผู้จำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู และพาร์ตเนอร์ทั้งหมด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิจะสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 600 หัวจ่าย นอกจากนั้น ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2565 นี้ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EVolt ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเพื่อใช้บริการสถานี ChargeNow 

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำด้านความยั่งยืนตอบแทนคืนสู่สังคมไทย

เรื่องความยั่งยืนเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลักของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ มุ่งหมายที่จะสร้างความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว เฉกเช่นเดียวกับการสร้างความยั่งยืนภายในบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง โดยให้ทุกภาคส่วนในเครือมีส่วนร่วมในการคิดและสนับสนุนเรื่องความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและธรรมาภิบาล บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้ริเริ่มกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนสังคมไทยมากมาย เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการกับลูกค้าด้วยการสมทบเพิ่มจากเงินบริจาคของลูกค้าแต่ละรายในจำนวนเท่ากัน การจัดงานบีเอ็มดับเบิลยู กอล์ฟ คัพ 2564 ที่นำเงินค่าสมัครเข้าร่วมกิจกรรมไปสมทบกองทุนสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) ของมูลนิธิชัยพัฒนา มีการสนับสนุนเรื่องการตรวจ ATK เชิงรุกในเขตกรุงเทพมหานครร่วมกับทีมแพทย์ชนบท รวมถึงอาสาสมัครที่ดูแลเรื่องการส่งอาหารและยาสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อโควิดในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ทางบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังได้จับมือกันเรื่องการให้บุคคลากรทางการแพทย์สามารถยืมใช้รถโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และการให้บุคคลทั่วไปเช่ารถผ่านแอพพลิเคชั่นคาร์แชร์ริ่ง HAUP ในราคาที่เหมาะสม ทางบริษัทฯ ยังเดินหน้าส่งต่อความช่วยเหลือในช่วงวิกฤติโควิด-19 ผ่านกิจกรรมประมูลเพื่อการกุศล “We Care, We Share” ภายใต้มูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ เพื่อสนับสนุนการจัดสร้างห้องระบบแลกเปลี่ยนอากาศแรงดันลบแบบสมบูรณ์ (True Negative Pressure) ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ โดยมูลนิธิชัยพัฒนานอกจากนี้ มูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ ยังคงเดินหน้ากิจกรรมการบริจาคเครื่องกรองน้ำเข้าสู่ปีที่ 7 เพื่อช่วยเหลือและให้ความรู้คนในชุมชนให้มีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค ขณะที่ทางโครงการได้มอบเครื่องกรองน้ำไปแล้วกว่า 7,018 เครื่องใน 95 ชุมชนทั่วประเทศ 

ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดที่จะเปิดตัวในปี 2565 มีดังนี้

บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 4 สร้างนิยามใหม่ให้แก่สุนทรียภาพแห่งการขับขี่ในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมขนาดกลาง ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งทรงพลัง ความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ และตำนานสุดยอดความสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยู ในดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตาจากทุกมุมมอง หลอมรวมรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยของรถสปอร์ตสองประตูและปรัชญาการดีไซน์ใหม่ที่ล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยครั้งนี้มาในรูปแบบการขับขี่แบบเปิดประทุนในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo มอบสมรรถนะการขับขี่ได้เต็มพิกัด ส่งพละกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระหว่าง 1,550 และ 4,400 รอบต่อนาที จึงเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที ส่วนชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Sport Steptronic พร้อมช่วงล่าง M Sport ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มอบการควบคุมที่ปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-Spoke แบบสลับสี มาใน 4 สีตัวถัง ซึ่งรวมไปถึงสีดำ Black Sapphire สีขาว Mineral White สีเทา M Brooklyn Grey และสีน้ำเงิน Tanzanite Blueบีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ใหม่ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ 4,300,000 – 4,500,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้)

บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ)

บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ เป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X6 เจเนอเรชั่นที่สาม ซึ่งประกอบขึ้นในประเทศไทย มาพร้อมกับดีไซน์อันเฉียบคมดุดันและภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความมั่นใจ ทรงอำนาจและความแข็งแกร่ง ภายนอกมาพร้อมกับความยาวตัวรถที่ 4,935 มิลลิเมตร ความกว้างที่ 2,004 มิลลิเมตร และความสูงที่ 1,696 มิลลิเมตร ลดลง 6 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้า ผสมผสานสัดส่วนที่ขยายออกอย่างปราดเปรียว เติมเต็มภาพลักษณ์ทรงพลังยิ่งขึ้น กระจังหน้ารูปไตคู่ขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยกรอบที่เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว ทำมุมรับกับไฟหน้าอย่างชัดเจนกว่าเดิม พร้อมไฟส่องสว่าง “Iconic Glow” มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เสริมรูปลักษณ์ภายนอกให้หรูหราดูเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้น โดยแผงกระจังหน้าจะส่องแสงเมื่อเปิดหรือปิดประตูรถยนต์ แต่ผู้ขับสามารถสั่งเปิดหรือปิดไฟกระจังหน้าได้ด้วยตัวเองเช่นกัน รวมทั้งยังเปิดใช้ในขณะขับขี่ได้อีกด้วย

บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุดถึง 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,500 รอบต่อนาที จึงมอบแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 5,200 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive เจเนอเรชั่นล่าสุด ส่งแรงบิดแบ่งล้อหน้าและหลังได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการในแต่ละสถานการณ์ด้วยความแม่นยำและความเร็วที่มากยิ่งขึ้น การตอบสนองแบบสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ ถูกเสริมด้วยช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ ส่งให้ช่วงล่างทรงประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์แบบ เติมเต็มสุดยอดความปราดเปรียวและการขับขี่ที่สะดวกสบายบนท้องถนน ทั้งยังช่วยยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงแม้ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ)ราคาจำหน่าย: 5,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard) 

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ)
บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ รถยนต์หรูในเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (SAV) เผยโฉมอีกหนึ่งรุ่นประกอบในประเทศ โดยสมาชิกรุ่นใหญ่ที่สุดในตระกูล X รุ่นนี้ หลอมรวมทั้งความคล่องตัว ความทรงพลัง และความโอ่อ่าเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนชั้นเลิศ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายด้วยตัวรถที่กว้างขวางในทุกมิติ

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบรุ่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo และระบบ Mild Hybrid ขนาด 48 โวลต์ ส่งพละกำลังสูงสุด 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที พร้อมโลดแล่นสู่ความเร็วสูงสุดที่ 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที เครื่องยนต์นี้ทำงานสอดประสานกับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ ช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive จึงมอบความนุ่มสบายเหนือระดับ การควบคุมที่เฉียบคม และความปราดเปรียวอันทรงพลัง ขณะที่ระบบควบคุมช่วงล่าง Executive Drive Pro เสริมความมั่นใจด้วยเสถียรภาพที่เหนือกว่าในทุกจังหวะการขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ 6,100,000-6,300,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้)

บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่-บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู i4 มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะการขับขี่อย่างแท้จริง ประกอบด้วยสองรุ่นย่อยคือ บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M รุ่นแรกจาก M GmbH ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนปราศจากมลพิษ (อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 22.5 – 18 กิโลวัตต์ชั่วโมง / 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0 กรัม / กิโลเมตร) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวบริเวณเพลาหน้าและด้านหลังของรถ ส่งพลังได้ถึง 400 กิโลวัตต์ / 544 แรงม้า มอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ได้ยิ่งกว่า ทั้งยังทำระยะวิ่งได้สูงสุดถึง 521 กิโลเมตร ตามมาตรฐานทดสอบ WLTP ด้านบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ (อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 19.1 – 16.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง / 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0 กรัม/กิโลเมตร) ผสมผสานมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า เข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบคลาสสิก มอบระยะวิ่งสูงสุดถึง 590 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP 

แนวคิดการออกแบบยนตรกรรมของบีเอ็มดับเบิลยู i4 ตอบโจทย์ทั้งในด้านการขับขี่แบบสปอร์ตและความสามารถในการทำระยะทาง ด้วยเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนที่ทรงประสิทธิภาพ การออกแบบเน้นน้ำหนักเบาที่เสริมสมรรถนะให้ปราดเปรียวยิ่งขึ้น และระยะทางขับขี่ที่ทำได้ไกลยิ่งกว่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่น้ำหนักมาก ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และประสบการณ์ที่ยาวนานในการพัฒนารถยนต์ระดับพรีเมียมสไตล์สปอร์ต ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู i4 มีความคล่องแคล่วปราดเปรียว ส่งพลังเร่งเครื่องได้อย่างเหนือชั้นเต็มกำลังรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือการขับเคลื่อนที่ทำได้อย่างง่ายดายแม้ขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย และการควบคุมที่แม่นยำ 

ด้านมอเตอร์เน้นสมรรถนะทรงพลังด้วยแรงบิดที่สูง ยิ่งไปกว่านั้น บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ ยังสามารถเข้าสู่โหมด Sport Boost ผ่านการดึงพลังงานมหาศาลภายในเวลาเพียงกว่าสิบวินาที ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งพละกำลังสูงสุดจากระบบขับเคลื่อนแล้ว ยังให้แรงบิดสูงสุดที่ 795 นิวตันเมตร จึงเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 5.7 วินาที ประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตยังมาพร้อมกับเสียงอันทรงพลังที่ีตอบสองในจังหวะการเร่งเครื่องซึ่ง่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น นอกจากนี้ ระบบ BMW lconicSounds Electric ยังมาพร้อมกับเสียงประกอบต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ผ่านความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยูและ Hans Zimmer นักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง 

เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ยังประกอบด้วยแบตเตอรี่แรงดันสูงพร้อมด้วยเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด โดยมีความจุพลังงานแบตเตอรีแรงดันสูงที่ 83.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) สูงสุดได้ที่ 205 กิโลวัตต์ ใช้เวลาประมาณ 31 นาที ในการชาร์จไฟจาก 10 – 80%บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ใหม่ ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 4,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)ฟรี BMW Wallbox พร้อมติดตั้ง สำหรับลูกค้า 22 ท่านที่จองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่

เมื่อหกสิบปีที่แล้ว จอห์น คูเปอร์ ได้วางรากฐานตำนานแชมป์บนสนามแข่งให้กับรถยนต์มินิรุ่นคลาสสิค ด้วยการถ่ายทอดแนวคิดและนวัตกรรมยานยนต์ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ในการสร้างสรรค์รถยนต์ขนาดเล็กที่พกพาขุมพลังอย่างเต็มเปี่ยมในแบบฉบับมินิ และได้คว้าแชมป์ในสนามแข่งเป็นครั้งแรกในการแข่งขันสเน็ตเตอร์ตัน ลอมแบงก์ โทรฟี่ ด้วยหมายเลข 74 และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองตำนานกว่า 60 ปีกับครอบครัวคูเปอร์ มินิ จึงได้ประกาศเปิดตัวรถยนต์

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยผลิตมาในจำนวนจำกัดเพียง 740 คันทั่วโลก และมีจำหน่ายในประเทศไทยในจำนวนจำกัดเพียง 22 คันเท่านั้นภายในห้องโดยสารมาในสีดำ Piano Black พร้อมเบาะหนัง Dinamica แผงหน้าปัดสะดุดตาด้วยลายเซ็นจากสมาชิกสามเจเนอเรชั่นของครอบครัวคูเปอร์ ซึ่งรวมไปถึง จอห์น คูเปอร์, จอห์น ไมเคิล “ไมค์” คูเปอร์ ผู้เป็นลูกชาย, และหลานชายอย่าง ชาร์ลี คูเปอร์ และอีกหนึ่งความเอ็กซ์คลูซีฟของรถยนต์มินิรุ่นพิเศษนี้ ยังอยู่ที่ลายเซ็นของ จอห์น คูเปอร์ และลายมือที่เขียนว่า “1 of 740” และตัวอักษร “60 YEARS OF MINI COOPER – THE UNEXPECTED UNDERDOG” ปรากฏอยู่บริเวณกรอบประตู

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ มีพละกำลังขับเคลื่อนจากขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ควบคู่กับโครงสร้างน้ำหนักเบาและเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 จังหวะ ส่งกำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร โลดแล่นจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 246 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ มาพร้อมระบบนำทางแพ็คเกจ Navigation Plus ซึ่งประกอบด้วย จอขนาด 8.8 นิ้ว ระบบ Apple CarPlay จอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-Up Display แท่นชาร์จไร้สาย และหน้าปัดดิจิทัล พร้อมด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบปลดล็อกประตูอัตโนมัติ สะดวกสบายด้วยระบบแฮนด์ฟรีผ่านบลูทูธ ระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินอัจฉริยะ (E-Call) บริการ ConnectedDrive และ MINI Connected มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ Anniversary Edition ใหม่ ราคาจำหน่าย: 3,450,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่
มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ ผสานสีตัวถังในสีเหลือง Zesty Yellow เข้ากับรายละเอียดสะดุดตาของดีไซน์การออกแบบที่เรียบง่ายแต่สื่อถึงความเป็นมินิกว่าที่เคย ตัวถังและกันชนในสีเหลืองสว่างสดใสและแถบบริเวณฝากระโปรงหน้าในดีไซน์เฉพาะที่มาพร้อมกับสีขอบที่ตัดกัน เสริมสไตล์ให้ด้านหน้าตัวรถโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าลายแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่และไฟหน้าทรงกลมฉบับมินิ กรอบไฟเลี้ยวด้านข้างดีไซน์ใหม่ล้อมกรอบสลักอักษร “Sidewalk” บ่งบอกความพิเศษในรถยนต์รุ่นนี้ ท่อไอเสียท้ายรถทั้งสองท่อล้อมรอบด้วยกันชนหลังที่มาในสีเดียวกับตัวถัง มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ โลดแล่นบนท้องถนนด้วยล้อ MINI Yours ลาย British Spoke แบบสองสีขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต หลังคาเปิดประทุนในดีไซน์ Sidewalk สุดเอ็กซ์คลูซีฟช่วยปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากสภาพอากาศไม่ว่าจะเป็นฝนหรือแดดจ้า หลังคาผ้าแบบอ่อนเปิดปิดอัตโนมัติถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์มินิรุ่นนี้ โดยสามารถสั่งเปิดปิดด้วยไฟฟ้าได้อย่างเงียบเชียบในเวลาเพียง 18 วินาที 

ภายในห้องโดยสารของมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ โดดเด่นด้วยเบาะที่นั่งแบบ MINI Yours Leather Lounge Sidewalk ในสี Anthracite การออกแบบภายในตัวรถของมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ สะท้อนการออกแบบในดีไซน์ Sidewalk บริเวณด้านล่างของพวงมาลัยหนังแท้มาพร้อมสัญลักษณ์ “Sidewalk” และรายละเอียดตะเข็บในสีที่ตัดกันอย่างเห็นได้ชัด ยังเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการออกแบบภายในห้องผู้โดยสาร

มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาดสองลิตร พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเร่งเครื่องจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.1 วินาที 

มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Sidewalk Edition ใหม่สุดพิเศษ มาให้ลูกค้าชาวไทยได้เป็นเจ้าของในจำนวนจำกัดเพียง 12 คัน เปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ https://minionlinesales.com/ เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ มอเตอร์ไซค์ทัวริ่งที่มาพร้อมสมรรถนะเครื่องยนต์ทรงพลัง ผสานเข้ากับ
ความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางไกลไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่เหล่าไบค์เกอร์บนทุกเส้นทาง มาพร้อมเครื่องยนต์บ็อกเซอร์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับตำนานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สั่งจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบฟอกไอเสียแบบ closed-loop ชนิด 3 ทาง จึงพร้อมส่งแรงบิดเต็มกำลัง ขณะที่เทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผันใหม่ BMW ShiftCam ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องยนต์ ก็ยังเสริมความแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบเหนือชั้นและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว ขนาด 1,254 ซีซี ที่ได้รับการยกระดับให้สามารถส่งพละกำลังและแรงบิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถโลดแล่นได้อย่างราบรื่นแม้ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ส่งกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยระบบไอเสียที่สามารถปล่อยมลพิษน้อยลง และประหยัดเชื้อเพลิง เติมเต็มสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมความสมดุลของเพลาลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ราคาจำหน่าย: 1,310,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับสี Triple Black และสี Racing Blue Metallic1,420,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับ Option 719 Mineral White Metallic

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R บิ๊กไบค์สายพันธุ์โรดสเตอร์ ต่อยอดความสำเร็จของมอเตอร์ไซค์ในตระกูล R สืบต่อยีนสายพันธุ์ของรถรุ่นพี่อย่าง S 1000 RR พร้อมการออกแบบในส่วนท้ายที่ชี้ขึ้น และส่วนหน้าที่กดต่ำลงอย่างดุดัน ด้านหน้าที่โดดเด่นและแผงกิลที่มีลักษณะเฉพาะ แผงแฟริ่งข้างลดทอนรูปทรงและสีที่คมชัดขึ้น พร้อมด้วยรูปลักษณ์ของรถโรดสเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ผสมผสานกับไดนามิกในการขับขี่แบบซูเปอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง ในส่วนของเครื่องยนต์และแชสซีก็ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่น S 1000 RR ซูเปอร์สปอร์ต จึงให้การตอบสนองแบบไดนามิกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 

พร้อมกำลังสูงสุดที่ 165 แรงม้า มากับน้ำหนักเบาเพียง 199 กก. เสริมความปราดเปรียวและการควบคุมที่ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับระบบเบรก (ABS Pro) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Dynamic Traction Control (DTC) ระบบไฟ Full LED แบบจัดเต็มและอีกมากมาย พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่อีกครั้งในมอเตอร์ไซค์ตระกูลไดนามิค โรดสเตอร์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ใหม่ ราคาจำหน่าย: 789,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B มอเตอร์ไซค์แบ็กเกอร์ที่มอบทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางควบคู่ความปราดเปรียวในการขับขี่ได้อย่างใจนึก พร้อมดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนน บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B มาพร้อมกับงานออกแบบและสมรรถนะที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพบนท้องถนน มอบทั้งความสง่างาม หรูหรา และพละกำลังที่เหลือล้น จนเติมรสชาติให้ทุกเส้นทาง บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่ พร้อมโลดแล่นไปบนท้องถนนอย่างสง่างามด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ที่มาพร้อมกับเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยาแบบใหม่ และมีการปรับเปลี่ยนระบบให้ลดอัตราการปล่อยมลภาวะตามเกณฑ์ EU5 ด้านสมรรถนะ สามารถให้พละกำลังได้สูงสุดถึง 160 แรงม้า ที่ 6,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงถึง 180 นิวตันเมตร ที่ 5,250 รอบต่อนาที ยกระดับความปลอดภัย ประสิทธิภาพ

และความสะดวกสบายในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า (Dynamic ESA) รุ่น “Next Generation” ใหม่ล่าสุด ที่สามารถปรับระบบกันสะเทือนให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และน้ำหนักบรรทุกได้โดยอัตโนมัติ จอแสดงผล TFT ขนาด 10.25 นิ้วมาพร้อมระบบนำทางที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนเส้นทางได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมระบบการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่ ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ1,600,000-1,800,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ  นี้)

BMW Group Thailand Annual Press Conference 2022-Product Highlights GALLERY