รีวิวทดลองขับ
เตมีย์ ลิ้มตระกูล
สิงห์บุรี 13 กรกฎาคม 2566
ฮอนด้า ซิตี้ ยืนหนึ่งสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับซิตี้คาร์ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องจากการเดินทางบนถนนเมืองไทยมาอย่างยาวนานตลอดเส้นทางได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาโดยตลอด ยืนยันได้ด้วยยอดขายสะสมเกือบ 800,000 คัน ฮอนด้า ซิตี้ นับเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่สำคัญของฮอนด้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นยนตรกรรมสำหรับภูมิภาค(Regional Model)โดยเปิดตัวเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2539 และได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เจเนอเรชั่น 1 ถึง เจเนอเรชั่น 4 ด้วยยอดขายสะสมใน 60 ประเทศทั่วโลกกว่า 4 ล้านคัน ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องการทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่นที่ 5 ใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ ขอพาคุณผู้อ่านขึ้นไทม์แมชชีน ย้อนเวลาไปดูเส้นทางความสำเร็จของรถยนต์ พิกัดซิตี้คาร์ ที่ฝากรอยล้อไว้บนถนนเมืองไทยที่ใช้ชื่อเรียกขานว่าว่า ฮอนด้า ซิตี้
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 รุ่นปีผลิต 1981 – 1986
ฮอนด้า ซิตี้ ถูกผลิตขึ้นตอบโจทย์ของชื่อรุ่นคือรถยนต์ของคนเมือง จุดเด่นของฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 เป็นรถยนต์นั่งตัวถังขนาดเล็กแต่สามารถออกแบบให้ภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวางได้อย่างไม่น่าเชื่อ? ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อด้วยเพราะ ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 ที่มีรูปทรงตัวถังแบบ แฮทช์แบ็ก 3 ประตู แต่เป็น แฮทช์แบ็ก 3 ประตู ทรงการ์ตูน คือรูปทรงตัวเล็กๆป้อมๆแต่หลังคาสูง ด้วยทรงแบบนี้นี่เองจึงทำให้ ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 แฮทช์แบ็ก 3 ประตู มีความกว้างเกินตัว ก่อนที่รุ่นถัดมาจะมีการเพิ่มรุ่นตัวถังแบบเปิดประทุน คอนเวอร์ทิเบิล 2 ประตู ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านคาร์บูเรเตอร์ มีทั้งเกียร์ ธรรมดา 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดให้เลือก (รุ่นนี้ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย)
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 2 รุ่นปีผลิต 1986 – 1993
ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 2 เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจาก เจเนอเรชั่น 1 โดยรูปทรงตัวถังยังคงเป็นแบบ แฮทช์แบ็ก 3 ประตู เครื่องยนต์ยังคงเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 จ่ายน้ำมันด้วยคาร์บูเรเตอร์ ก่อนจะพัฒนาเครื่องยนต์เป็น 1.3 ลิตร พร้อมทั้งเปลี่ยนระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหัวฉีดปี 1996 ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 เปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายเกิดการขยายฐานผู้บริโภคที่สามารถซื้อรถยนต์ให้กว้างออกไป นับเป็นการสร้างตลาดรถยนต์ “ซับคอมแพค”ขึ้นในไทยเป็นครั้งแรก
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 3 รุ่นปีผลิต 1996 – 2002 (นับเป็น ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 สำหรับในประเทศไทย)
ปี 1996 ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 1 เปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายเกิดการขยายฐานผู้บริโภคที่สามารถซื้อรถยนต์ให้กว้างออกไป นับเป็นการสร้างตลาดรถยนต์ “ซับคอมแพค”ขึ้นในไทยเป็นครั้งแรก
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 4 รุ่นปีผลิต 1996 – 2002 (นับเป็น ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 2 สำหรับในประเทศไทย)
ปี 2002 มีการขยายแพลตฟอร์มให้กว้างยิ่งขึ้นสะดวกสบายตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนที่หลากหลายทำให้ภาพลักษณ์ของ ซิตี้ คาร์ ในสายตาผู้บริโภคเปลี่ยนไปรวมถึงการนำระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 7 สปีดมาใช้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังสร้างความเชื่อมั่นด้วยโกลโบล ฮอนด้า ควอลิตี้ สแตนดาร์ด (Global Honda Quality Standard) โดยการส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศรวมทั้งประเทศญี่ปุ่น
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 5 รุ่นปีผลิต 2008 – 2014 (นับเป็น ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 3 สำหรับในประเทศไทย)
ในเจเนอเรชั่นที่ 3 ด้วยการออกแบบดีไซน์ที่โดดเด่นและเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะดีเยี่ยมทำให้ฮอนด้าซิตี้ในเจเนอเรชั่นนี้ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวไทยและต่างประเทศทั่วโลกถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดด้วยการสร้างยอดขายมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนคัน ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลกฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่นนี้ เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2008 โดยจะมี 3 รุ่น 3 หลัก 5 รุ่นย่อยให้เลือก
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 6 รุ่นปีผลิต 2014 – 2018 (นับเป็น ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 4 สำหรับในประเทศไทย)
ในปี 2014 ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 4 ได้รับการพัฒนาขึ้นไป อีกขั้นจนเป็นรถที่ได้รับความนิยมอย่างมากตอกย้ำความสำเร็จด้วยการเป็นรถ“ซับคอมแพค”ยอดขายอันดับ1ในไทย ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่นนี้เปิดตัว (รอบสื่อมวลชน) เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2014 มี 5 รุ่นหลักให้เลือกโดยทุกรุ่นรองรับน้ำมันเชื้อเพลง E85 ในทุกรุ่นย่อย พร้อมกับระบบ Econ Assist ที่ช่วยให้การขับขี่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น พร้อมทั้งยังมีโครงสร้างนิรภัย G-CON ระบบควบคุมการทรงตัว VSA ระบบช่วยออกตัวในทางชัน HSA (ยกเว้นรุ่นเกียร์ธรรมดา) และไฟเตือนการเบรกกระทันหัน ESS เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมาตรฐานในทุกรุ่นย่อยและตั้งแต่รุ่น V+ ขึ้นไปจะมีเสาครีบฉลาม (Shark Fin) และหน้าจอระบบสัมผัส สำหรับเกียร์อัตโนมัติทุกรุ่นจะได้ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด
-ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 7 รุ่นปีผลิต 2018 – 2022 (นับเป็น ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 5 สำหรับในประเทศไทย)
ปี 2018 ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 5 บอดี้ ซีดาน 4 ประตู ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นับเป็นการปรับใหญ่ ท้าทายทุกการขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเทอร์โบเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที เคลมว่าแรงและประหยัดอัฉริยะในบล็อกเดียว พกมาพร้อมทั้งเทคโนโลยีความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัย รวมถึงการเปิดไลน์รุ่น RS เป็นครั้งแรกด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน รวมถึงนวัตกรรมเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่าง ผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) มาด้วยกัน 4รุ่นย่อย
รุ่น RS ราคา 739,000 บาท
รุ่น SV ราคา 665,000 บาท
รุ่น V ราคา 609,000 บาท
รุ่น S ราคา 579,500 บาท
ก่อนจะเปิดตัวแนะนำฮอนด้า เปิดตัว ซิตี้ บอดี้ แฮทช์แบ็กพร้อมกับ ซิตี้ ขุมพลัง ฟูลไฮบริด ที่ฮอนด้าเรียกว่า อี:เอชอีวี (เฉพาะบอดี้ซีดาน 4 ประตู) เมืื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 เป็น Sport Hybrid i-MMD ที่ทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ให้แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที มีอัตราการประหยัดน้ำมัน 27.8 กิโลเมตร/ลิตร โดยมีมารตัวท๊อปรุ่นเดียวคือ รุ่นe:HEV RS เปิดราคามาที่ 839,000 บาท ส่วน ซิตี้ บอดี้ แฮทช์แบ็กเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBOมาครบ 3 รุ่น
รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
รุ่น SV ราคา 675,000 บาท
รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท
จากนั้นบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เติมไลน์เซกเมนต์ซิตี้คาร์ในประเทศไทย เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กขุมพลัง อี:เอชอีวี ที่มีมาก่อนหน้าในบอดี้ ซิตี้ซีดาน ในรหัสรุ่น e:HEV RS เปิดราคา 849,000 บาท เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 จอดเบ่งกล้ามในโชว์รูมคู่กับเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO ตัวท๊อป RS ราคา 749,000 บาท
และล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ รุ่นปรับโฉม (เฉพาะซีดาน4ประตู) ประเด็นเด่นของการปรับโฉมครั้งนี้โฟกัสนอกเหนือการแต้มแต่งเติมความสดใหม่ให้บอดี้ฮอนด้า ซิตี้ ที่มีอายุเกือบ 5 ปี อยู่ที่ การเติมรุ่นครื่องยนต์ ฟูลไฮบริด e:HEV ในบอดี้ 4 ประตู รุ่น SV ซึ่งเดิมมีเพียงตัวท๊อป RS รุ่นเดียว
รุ่น e:HEV RS ราคา 839,000 บาท
รุ่น e:HEV SV ราคา 769,000 บาท
สำหรับ ฮอนด้า ซิตี้ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย เหมือนเดิมราคาเพิ่มค่า Honda SENSING นิดหน่อย โดยมีมาให้ในทุกรุ่นย่อยเป็น
รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
รุ่น SV ราคา 679,000 บาท
รุ่น V ราคา 629,000 บาท
การปรับทรง ฮอนด้า ซิตี้ บอดี้ซีดาน ครั้งนี้มีกระแสจากแฟนฮอนด้า ซิตี้ บอดี้ แฮทช์แบ็ก ว่าทำไมไม่ปรับให้บ้าง เหมือนฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จะได้ยินจัดส่งฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก สีใหม่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก)แทรกไลน์ใส่สีใหม่เป็นการปลอบใจโดยมีมาให้เฉพาะรุ่น RS และ SV https://www.incarsmagazine.com/ซิตี้แฮทช์แบ็กสีขาวมุก/ ส่วนราคาเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
รุ่น RS ราคา 759,000 บาท
รุ่น SV ราคา 685,000 บาท
ต้นเรื่องของ ฮอนด้า ซิตี้ ตั้งแต่เจเนอเรชั่น 1 จนถึงเจเนอเรชั่น 5 ข้างต้นจนถึงปัจจุบันเรื่องราวของ ฮอนด้า ซิตี้ เจนฯ 5 ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ใช้เวทีที่ประเทศไทย เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 5 ครั้งแรกในโลก ว่ากันว่าเป็นอีกขั้นแห่งยานยนต์ซิตี้คาร์ที่พร้อมขับเคลื่อนไปไกลเกินกว่าทุกความคาดหมายและเปิดทุกความเป็นไปได้ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO 122 แรงม้า อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกกับรุ่น RS แตกต่างอย่างสปอร์ตด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน อีกทั้งนวัตกรรมเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) การมาของ ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 5 ที่ใหม่หมดทั้งบอดี้ รวมถึงการมีของดีที่เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO ซึ่งเป็นเรื่องเกินความคาดหมายจากแฟนฮอนด้า(ในขณะนั้น) ความน่าสนใจและสิ่งที่แฟนๆฮอนด้าควรรู้คือ ฮอนด้า ต้องการทวงคืนความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งขนาด ซี เซกเมนต์ ที่ถึง มาสด้า 2 แย่งชิงไปด้วยรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว โดนใจ ขนใส่เทคโนโลยีทั้งภาคความสะดวกสบายและความปลอดภัย ส่งผลให้ลูกค้าซึ่งเดิมเป็นของฮอนด้า เทใจย้ายค่ายไปฝั่งมาสด้าแทบหมดหน้าตัก
ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชัน 5 ที่มี ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO 122 แรงม้า ที่มาด้วยรูปทรงใหม่ ทั้งยังได้เทคโนโลยี ภาคความสะดวกสบายและความปลอดภัย ขนใส่ลงไป ซึ่งได้ผล สามารถทวงคืนตำแหน่งหัวแถว ซี เซกเมนต์ ได้ในเวลา 3 ปี ชนิดที่ว่า ฮอนด้า ซิตี้ ส่งมอบรถให้ลูกค้าไม่ทันแบล็คออเดอร์ยาวหลายเดือน ซึ่งช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ ฮอนด้า ซิตี้ ต้องเดินเกมส์อย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจะทุ่มงบประมาณลงสื่อต่างแล้วยังได้จัดทริปทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ รุ่นปรับโฉมใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเรา incarsmagazine.com ก็ได้เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้
สำหรับรายละเอียดทางด้านเทคนิคตลอดจนฟีลลิ่งในการขับ ต้องบอกว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่นเดิมก่อน ไมเนอร์เชนจ์ในครั้งนี้ ทั้งรุ่น เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO และรุ่นฟูลไฮบริด e:HEV ที่มีเฉพาะบอดี้ 4 ประตู ไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่นเดิมก่อนหน้านี้แต่อย่างใด หากจะมีคงจะเป็นอาการดีต่อใจของลูกค้าที่ได้ใชรถยนต์รุ่นใหม่เท่านั้นเอง แต่โฟกัสหลักของการจัดทริปทดลองขับในครั้งนี้ คือการให้พวกเรา (สื่อสายยานยนต์) ลองของเรื่องอัตราการประหยัด ของ ซีดาน ซีเซกเมนต์ ทั้ง 2 ขุมพลัง ซึ่งผลของการชาเลนจ์ ครั้งนี้ในรุ่น เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO สามารถปั้นตัวเลขได้ กว่า 38 กม./ลิตร ส่วน ฟูลไฮบริด e:HEV สามารถทำตัวเลขได้ทะลุ 40 กม./ลิตร เลยทีเดียว ส่วนรายละเอียดของแต่ละรุ่นย่อยนั้นรบกวนคลิกไปอ่านบนความแนะนำรถใหม่ตามลิงก์ที่แปะไว้ครับ https://www.incarsmagazine.com/ฮอนด้าเปิด-ซิตี้-ใหม่/
ทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ MY2023 GALLERY